การแต่งงาน มีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะเรียนรู้การปรับตัว เพื่อประนีประนอมและเอาใจใส่ เพื่อนชายหรือเพื่อนหญิง ก็เหมือนกัน พวกเขาจะปรับตัว ถ้าพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะเรียนรู้การปรับตัว และเอาใจใส่ ดังนั้นพวกเขา จะอยู่กันอย่างสันติสุข
ฉันอยากจะขอบคุณ ธรรมบาล พวกคุณยังหนุ่ม และมาที่นี่ทุกเสาร์อาทิตย์ ฉันถาม “จมูกแบน” ว่าทำไมจึง... ฉันถามเขาว่าเขามีลูกกี่คนแล้ว? ข้อแรก ข้อสอง เห็นว่าเขา ตัวสูงมากและหล่อ ฉันคิดว่าเขาต้อง “ถูกลักพาตัว” โดยเด็กสาวบางคน พวกเขาคงไม่ปล่อยเขาไว้ เขาตอบว่า “ผมยัง ไม่เจอกรรมของผมเลยครับ” คำตอบที่ฉลาดมาก พระเจ้า เห็นพวกคุณเติบโตขึ้น ฉันรู้ว่าฉันกำลังแก่ลง ฉันเสียใจที่ไม่สามารถ อยู่เป็นหนุ่มสาวกับพวกคุณ แต่พวกคุณทุกคน ก็จะเริ่มแก่หลังจากไม่กี่สิบปี ดังนั้นไม่เป็นไร คุณจะตามทันในไม่ช้า ทำไมคุณ ไม่มีเพื่อนหญิง? งานยุ่งเกินไป? คุณยังไม่เจอ “กรรม” ของคุณ? (พระเจ้าอวยพรครับ) พระเจ้าอวยพร ตอนนี้คุณพูดอย่างนั้น แต่ภายหลังเมื่อคุณพบ “กรรม” ของคุณ คุณจะพูดว่า “โอ พระเจ้าอวยพร ที่ให้ผมมีหน้าตา ที่หล่อเหลา...” คุณจะมีความคิดที่ เปลี่ยนไป อยู่บ้านคุณทำอะไร? (ผมเป็นบุรุษไปรษณีย์ครับ) ดีมาก คุณได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ทุกวันขณะทำงาน คุณทำงานนอกอาคารทุกวัน ใช่ไหม? (ใช่ครับ) มันสะดวกสบายมาก แล้วไงต่อ? (ผมกำลังเตรียมสอบ) สอบ (ผมทำงานพาร์ทไทม์ด้วยครับ) วาว! แล้วคุณยังทำงานอาสา เป็นธรรมบาลที่นี่ ทำงานหนักมาก คุณยังมีเวลาเหลืออยู่ ได้อย่างไร? คุณเตรียมตัว สอบอะไร? (มันเป็นการสอบ ข้าราชการพลเรือนทั่วประเทศ) ลูกจ้างรัฐบาล และคุณล่ะ? (ผมทำงานแผนก การคัดเลือกและฝึกอบรมบุคลากร สำหรับบริษัทชิปปิ้ง - เทรดดิ้ง รีครูทติ้ง และเทรนนิ่ง) และเขาล่ะ? (ผมทำงานโรงงาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งผลิตหน้าจอ สำหรับโทรศัพท์มือถือ) (โรงงาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) โรงงานด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี น่ามหัศจรรย์ ไอทีใช่ไหม? (ไอที ครับ) คล้าย ๆ วิศวกรไอที ใช่ไหม? น่าทึ่ง แล้วเขาล่ะ? (วิศวกรครับ) วิศวกรประเภทไหน? (ออกแบบเครื่องมือ เช่น เครื่องมือสำหรับซ่อมแซมสายไฟฟ้า) (ออกแบบเครื่องมือ) ออกแบบ ออกแบบเครื่องมือ แล้วคุณล่ะ? (วิศวกรรมการบิน) ซ่อมแซมเครื่องบิน
คุณทำอะไร? (ผมทำงานในโรงงาน) โรงงานประเภทไหน? (น้ำตาลครับ) โอ น้ำตาล! หวานมาก ซูการ์บอย ซูการ์ เบบี้ เลิฟ มีเพลงหนึ่งเกี่ยวกับ ซูการ์ เบบี้ ซูการ์ เบบี้ เลิฟ คุณรู้จักไหม? ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันจำเนื้อเพลงได้ไม่กี่บรรทัด ซูการ์ เบบี้ เลิฟ ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ ไม่อยากทำให้เธอเศร้า อะไรแบบนั้น เท่านั้น ฉันจำไม่ได้หมด มันนานมากแล้ว เพลงรักหวาน ๆ ที่นี่เราห้ามเพลงประเภทนี้ เฉพาะอาจารย์ร้องเพลงพวกนี้ได้ แล้วคุณล่ะ? (ผมเป็นวิศวกร ด้านการวิจัยและพัฒนา) คุณประดิษฐ์อะไรบ้างไหม? (ครับ แต่มีบางอย่าง ที่ยังไม่ได้ทำขึ้นมา) มันใช้เวลานาน ทุกสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เป็นผลมาจาก ความพยายามของคนมากมาย แม้แต่ชามแบบนี้ มันไม่เคยสวยงามมาก่อน มันเคยหยาบขรุขระ ทำจากดิน แล้วภายหลังจึงมี ของแวววาวเพิ่มขึ้นมา เมื่อก่อนเราไม่เคยมีสิ่งของ อย่างพวกนี้ มีแต่เป็นไม้ และไม้ไผ่เท่านั้น ตอนนี้มันกลายเป็นอย่างนี้ การวิจัยสิ่งต่าง ๆ มากมาย มันสำคัญมาก เพื่อที่จะมีสิ่งประดิษฐ์ ออกมาได้มากมาย
ทุกวัน เวลาที่ฉันใช้ของอะไร ฉันรู้สึกว่า “วาว ฉันช่างโชคดี รู้สึกขอบคุณมาก!” ยกตัวอย่าง สิ่งที่คุณเรียกว่า “เข็มกลัดซ่อนปลาย” ใช่ไหม? เข็มกลัด มันเคยเป็นแบบธรรมดา แล้วมันกลายเป็นปลอดภัยมากขึ้น สิ่งของที่เล็กมากและละเอียด มีเครื่องจักรที่ทำสิ่งนี้ ได้อย่างไร? นอกจากนั้น ยังมีพลาสติกหุ้ม เพื่อให้ใช้เข็มกลัดปลอดภัยขึ้น ทุกครั้งที่ฉันเห็นบางสิ่ง ฉันรู้สึกชื่นชม และเคารพ และรู้สึกว่า ฉันโชคดีมากที่สามารถ เพลิดเพลินกับหลายสิ่งหลายอย่าง มันไม่เหมือนกับยุคสมัยก่อน ไม่มีตะปู ที่มีหลาย ๆ ขนาด เพราะว่าบางครั้งฉัน ต้องซ่อมแซมสิ่งของเอง หรือแขวนบางอย่าง ฉันต้องตอกตะปูก่อน เพื่อจะแขวนบางอย่าง ฯลฯ ฉันมักจะรู้สึกว่า “วาว น่าทึ่งมาก” และเส้นลวดก็บางมาก แล้วหุ้มด้วยพลาสติกสีเขียว ที่อ่อนนุ่ม บางอย่างก็หนาขึ้นหน่อย บางอย่างก็บางมาก เกือบเท่าเส้นผมของพวกเรา
ยกตัวอย่าง การเชื่อมต่อโทรศัพท์ มันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตรงจุดที่สายไฟเข้าไป เพื่อเราจะได้เสียบเข้ากับโทรศัพท์ มีครั้งหนึ่งสายไฟหลุดออกมา ฉันพยายามใส่กลับเข้าไป ฉันเปิดฝาเล็ก ๆ ออก ตรวจดูว่า แต่ละสายต่อเข้าตรงไหน มันมีสีที่แตกต่างกัน สายไฟข้างในบางมาก มันทำจากทองแดง หุ้มด้วยพลาสติกสีแดง ฉันรู้สึกว่า “วาว! มหัศจรรย์” ใครนะที่คิดค้น สร้างเครื่องจักรประเภทนี้ และหาวิธีทำสายไฟ ที่บางเท่าเส้นผม? มันเส้นเล็กละเอียดมาก โทรศัพท์จะไม่สามารถเชื่อมต่อ ถ้าหาก ไม่มีสายไฟเล็ก ๆ เหล่านี้ มันน่าทึ่งมาก! โทรศัพท์ทั้งหลาย และโลกทั้งหมด ต้องอาศัย สิ่งเล็กละเอียดแบบนี้ ทั่วทั้งอาศรมต้องอาศัยมัน ไม่ต้องพูดถึงว่า ทั่วทั้งโลก ในอาศรมที่นี่ ฉันต้องอาศัยสิ่งเล็ก ๆ นี้ เพื่อติดต่อกับผู้คน
คุณทำอะไร? (ผมเป็นสถาปนิก) สำหรับการสร้างบ้าน? (สร้างบ้านและสวนครับ) สำหรับสวนด้วยหรือ? คุณก่อสร้างภูมิทัศน์ ได้ไหม? มันเกี่ยวข้องกัน ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง? (แค่ธุรกิจเล็ก ๆ ครับ) คุณมาที่นี่ทุกเสาร์อาทิตย์ ครอบครัวคุณโอเคมั้ย? (พวกเขามาพร้อมกับผมครับ) แล้วคนที่มีภรรยา ว่ายังไง? เธอยอมให้คุณมาที่นี่หรือ? (เราตกลงกันแล้วครับ) คุณพูดคุยกันแล้ว (เราคุยกันแล้ว ที่จริงภรรยาผมค่อนข้าง สนับสนุน การทาน อาหารมังสวิรัติกับผม) เธอเป็นมังสวิรัติหรือเปล่า? (เธอทานมังสวิรัติ กับผมครับ) โอเค (ที่บ้านเราทุกคน ทานมังสวิรัติ รวมทั้งลูก ๆ ของเราด้วย) ยอดเยี่ยม ภรรยาที่ดี คุณจะต้อง เอาใจใส่มากหน่อย และพูดอ่อนหวานขึ้นหน่อย ไม่ ฉันไม่ได้พูดเล่น พวกเราผู้หญิง ชอบให้ผู้ชายโรแมนติกและเอาใจ คุณต้องให้ความสนใจเธอบ่อย ๆ บอกว่า “วาว! วันนี้คุณสวยมาก” “ผมคิดถึงคุณมาก วันนี้” ฯลฯ คำพูดประเภทนั้น แล้วก็การแสดงออก เพื่อหล่อเลี้ยงความรักของพวกคุณ ต่อกันและกัน อย่ามองข้าม ภรรยาที่ดี ควรได้รับการดูแลที่ดี (เข้าใจครับ) ดูแลเธอให้มากขึ้น และกอดเธอให้มากขึ้น เวลาคุณกลับถึงบ้าน และคุณต้องรู้ว่า จะพูดอย่างไร และทำนี่ทำนั่นอย่างไร ไปอ่านหนังสือแบบนี้ โอเค? คุณจะรู้ว่าควรทำอย่างไร จากหนังสือและภาพยนตร์ ฉันลืมไปแล้ว ฉันไม่ใช่ครูที่เก่งในเรื่องนี้ มันนานกว่าสามสิบปีแล้ว ตั้งแต่ฉันแต่งงาน และตอนนี้ฉันก็ลืมแล้ว แต่อดีตสามีของฉัน อ่อนหวานและโรแมนติกมาก ถ้าเขามีเวลา ฉันจะรู้สึกว่าเขา ดูแลฉันดีมาก คุณแค่รู้สึกว่า เขาเอาใจใส่คุณมาก มันไม่ใช่ว่าหลังแต่งงานแล้ว เขาจะไม่สนใจ (เขาอยากเป็นแบบนี้ มันเป็นแบบที่ ผู้ชายควรจะเป็น) ฉันไม่แน่ใจนะ ผู้ชายบางคนค่อนข้างขรึม มันไม่มีอะไรแตกต่าง ทั้งก่อนหรือหลังแต่งงาน พอกลับมาบ้าน พวกเขาถอดเสื้อโค้ท และนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือทำอย่างอื่น พวกเขาลืมที่จะ กอดและจูบภรรยา และพูดกับภรรยา “โอ ผมคิดถึงคุณ และก็...” แต่เขาไม่ควรจะ พูดเหมือนกับหุ่นยนต์ เขาควรพูดอย่างมีความรัก และจริงใจ ยกตัวอย่าง ฉันชอบเล่นดนตรี เวลานั้น ตอนที่ฉันเล่น วาว เขาฟังอย่างชื่นชม เหมือนแฟนเพลง (ชื่นชม) ชื่นชมใครบางคน แต่ว่าที่จริงแล้ว ฉันเล่นไม่เก่งหรอก ฉันไม่ใช่นักดนตรี คุณก็รู้ฉันเล่นอย่างไร นั่นคือแบบที่ผู้ชายควรเป็น แต่ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนทำอย่างนั้น พวกเขามักจะลืม พวกเขารู้ แต่ก็ทำไปอีกแบบ คุณทำได้ไหม? เอาแต่หัวเราะอยู่ตรงนั้น (แน่นอน ผมทำไม่ได้ครับ) คุณยังไม่ได้ทำหรือ? ยังไม่ได้ฝึกแบบนั้น (ผมทำตามสบายครับ) คุณทำตามสบาย
คุณมีเพื่อนหญิงหรือยัง? มีแล้ว? ถ้าคุณมี คุณก็ต้อง เอาใจใส่มากหน่อย (ผู้คนมักจะพูดว่า พูดหวานสำหรับก่อนแต่งงาน แต่หลังจากแต่งงาน...) มันจะไม่จำเป็น (เขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคน) มันไม่ควรเป็นแบบนั้น มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะห่างจากกันง่ายมาก นั่นคือเหตุที่ฉันพูดว่า อดีตสามีของฉันเป็นคนดีมาก อาจจะคนเยอรมันทุกคนเป็นแบบนั้น พวกเขาบอกฉันว่า สามีชาวเยอรมันดีมาก ผู้หญิงคนอื่น ๆ บอกฉันอย่างนี้ ฉันไม่รู้เกี่ยวกับ สามีคนอื่น ฉันรู้แต่สามีของฉันเท่านั้น เขางานยุ่งมาก คุณก็รู้ เขาเป็นแพทย์ และต้องเข้าเวรกลางคืน ในเวลาเดียวกัน และเขายังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์อีก ขณะที่เขายุ่งกับ การเรียน เขาก็ยังเอาใจใส่ฉัน เขาไม่ลืมเกี่ยวกับภรรยาของเขา เขาไม่เคยละเลยฉัน เขาไม่เคยมีข้ออ้าง ที่บอกว่า “ผมงานยุ่งมาก รอก่อนนะไว้คุยกันทีหลัง” เป็นฉันเองที่ละเลยเขา บางครั้งฉันพูดคุยกับ พระอาจารย์ในศาสนาพุทธ ถามเกี่ยวกับธรรมะ ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ไปที่อินเดีย ฉันมักจะโทรคุยกับ พระอาจารย์ในศาสนาพุทธคนนั้นคนนี้ เพื่อถามเกี่ยวกับพระสูตร บางครั้งฉันโทรศัพท์ คุยนานมาก พอเขากลับมาบ้าน เขาลังเล เพราะเห็นฉันพูดโทรศัพท์ นานมาก เขาจะเข้ามากอดฉันและบอกว่า “ผมมาแล้วคุณรู้หรือเปล่า? ผมอยู่บ้าน รู้หรือเปล่าว่าผมอยู่บ้าน?” (เขาถูกเมินเฉย) แล้วฉันบอกว่า “รอเดี๋ยวนะ รอสักครู่” เพราะฉันกำลังสนใจใน สิ่งที่พวกเขาพูด พระอาจารย์ในศาสนาพุทธ ที่สูงอายุบางคน ปฏิบัติดีมาก และให้คำตอบที่ฉลาดมากแก่ฉัน ฉันกระตือรือร้นมากในเรื่องธรรมะ แต่ชีวิตแต่งงานไม่ลงตัวกับมัน เอาล่ะ ฉันตอบไปว่า “รอเดี๋ยวนะ ฉันยังคุยไม่จบ” เขาคิดว่าฉันกำลังคุย กับเพื่อนผู้ชาย ฉันบอกว่า “ไม่ ไม่ ฉันคุยกับ พระอาจารย์ในศาสนาพุทธ พระที่ไม่มีผม” (ไม่มีผม) พระสงฆ์แก่ ๆ ดังนั้นฉันบอกสามีว่า “เขาแก่แล้ว หกสิบกว่าแล้ว” ภายหลังเขายังบ่นกับฉัน “ทำไมคุณคุยนานจัง? คนนั้นเป็นใคร?” ฉันบอกว่า “ฉันคุยกับ พระสงฆ์ในศาสนาพุทธ” แล้วเขาพูดว่า “คุณพูดกับคนอื่นบ่อย ๆ เหมือนกัน” ฉันบอกว่า “ใช่” เพราะเวลานั้น ฉันเป็นประธาน ในกลุ่มนักศึกษาศาสนาพุทธ ในเยอรมัน (ประธาน) และฉันยังทำงาน เพื่อผู้อพยพชาวเอาหลัก(เวียดนาม) อีกด้วย แน่นอนที่ฉันงานยุ่งมาก บางครั้งเมื่อฉันไปเยี่ยมพระสงฆ์ เขาต้องไปกับฉัน ฉันไปที่ที่พระสงฆ์อยู่ มันไม่ใช่วัด แต่ก็นั่นแหละ ที่นั่นสามีภรรยา จะนอนเตียงเดียวกันไม่ได้ ยกตัวอย่าง แล้วฉันต้องนอนด้านนี้ เขานอนด้านโน้น โดยศีรษะของเราอยู่แบบนี้ ถึงแม้ในที่ของพระสงฆ์ เขายังยื่นมือ มาจับมือของฉัน เขาทำอะไรอื่นไม่ได้ เขาจึงแค่ยื่นมือของเขาออกมา มันเป็นอย่างนั้นบ่อย ๆ ภายหลัง ฉันโกนหัว และกลับไปที่เยอรมัน เพื่ออยู่ในวัด เขามาหาฉัน เขาไม่สามารถจับมือของฉัน อย่างเปิดเผย เพราะทุกคนจะมอง ดังนั้นเขาใช้เท้าของเขา เหยียบบนเท้าฉันใต้โต๊ะ (เพื่อบอกความรักของเขา) และก็ยิ้ม ฉันพูดว่า “อา! เอาเท้าของคุณออกไป” เขาเป็นสามีแบบนั้น เอาใจภรรยาเสมอ คุณไม่จำเป็นต้องร่ำรวย หรือหน้าตาดี แต่ว่าก็แน่นอน หน้าตาดีย่อมจะดีกว่า แต่ว่ามันไม่จำเป็น การให้ความเอาใจใส่เธอ จะทำให้เธอรู้สึกว่า เธอเป็นที่รักของคุณเสมอ รู้สึกว่าคุณนึกถึงเธอเสมอ เธอชอบแบบนั้น คุณไม่จำเป็นต้องร่ำรวย หรือหน้าตาดี หรือมีคำนำหน้าว่าแพทย์ ไม่จำเป็น ฉันถือโอกาสนี้บอกคุณ เผื่อคุณยังคง อยากปกป้องรักษาครอบครัวคุณ ในเมื่อคุณแต่งงานแล้ว ก็รักษาต่อไป มิฉะนั้นโลกนี้ จะไม่มีสันติภาพ สันติภาพโลกเริ่มจากที่บ้าน
มีนิทานเรื่องหนึ่ง ชายคนหนึ่งได้รับเชิญไปงานเลี้ยง ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังทักทายกัน เขาเอาแต่กิน ทีละอย่าง ในไม่ช้าอาหารก็หมดทุกจาน ขณะที่แขกยังคง เชิญกันและกันอย่างให้เกียรติ เพื่อให้เริ่มต้นก่อน เขาก็กินไปหมดแล้ว พวกแขกถามเขาว่า “คุณราศีอะไร?” เขาตอบว่า… ไม่สำคัญ ไก่หรือเป็ดก็ได้ แขกก็พูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า คุณไม่ใช่เสือ ไม่งั้น...” (เขาคงจะ กินแขกทุกคนหมด) “ไม่งั้นพวกเรา คงจะถูกกินไปด้วย” ผู้คนเห็นเขาเป็นตัวตลก ขอบคุณที่ราศีของเขา ไม่ใช่เสือ
คุณรู้นะว่าควรจะ บริการคนอื่นอย่างไร (ขอบคุณอาจารย์) สามีของคุณ โชคดีมาก คุณมีสามีหรือเปล่า? (มีค่ะ) บอกเขาว่า “เขาโชคดีมาก” (ขอบคุณค่ะอาจารย์) ฉันอิจฉาเขามาก เธออาจจะถูกฝึกมาอย่างดี โดยสามีของเธอ การแต่งงาน มีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะเรียนรู้การปรับตัว เพื่อประนีประนอมและเอาใจใส่ เพื่อนชายหรือเพื่อนหญิง ก็เหมือนกัน พวกเขาจะปรับตัว ถ้าพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะเรียนรู้การปรับตัว และเอาใจใส่ ดังนั้นพวกเขา จะอยู่กันอย่างสันติสุข
พวกเขายังเรียนรู้การซักรีด และเย็บปะเสื้อผ้า ซึ่งปกติแม่ของพวกเขาจะทำให้ มีขำขันอีกเรื่องหนึ่ง ชายโสดคนหนึ่ง เขามักจะ กระดุมหลุดหรือตะเข็บหลุด (ตะเข็บหลุด) ตะเข็บหลุด ตรงนี้ ตรงนั้น ดังนั้นเพื่อนของเขาบอกว่า “ทุกสิ่งจะดีขึ้น หลังจากคุณแต่งงาน” เขาตอบว่า “ผมยังไม่เจอผู้หญิงคนไหนเลย” แล้ววันหนึ่ง เขาพบคนหนึ่งและแต่งงานกัน เพื่อนของเขาถามว่า “ผมเห็นคุณเปลี่ยนไปตอนนี้ ตั้งแต่คุณแต่งงาน กระดุมและตะเข็บของคุณ ไม่หลุดอีกแล้ว คุณดูเรียบร้อยดีขึ้นตอนนี้ คุณต้องมีภรรยาที่ดีแน่ ๆ ใช่ไหม?” เขาตอบว่า “ใช่ เธอสอนผมให้รู้จัก เย็บเสื้อผ้าของผมและของเธอ” เรื่องนี้ดีมาก (เขาสามารถทำสิ่งที่ เมื่อก่อนเขาทำไม่ได้) เขาเรียนรู้ทุกอย่าง อาจจะรวมทั้งการทำอาหาร
ขำขันอีกเรื่องหนึ่ง ชายคนหนึ่งบอกฉันว่า เขาจะแต่งงาน ฉันบอกว่า “ทำไมคุณ จึงแต่งงานตอนนี้? เมื่อก่อนคุณไม่อยากแต่งนี่” เขาตอบว่า “ทุกเช้า หลังจากดื่มอะไรแล้ว ผมต้องรีบไปทำงาน และวางแก้วทิ้งไว้บนโต๊ะ พอกลับมาบ้าน แก้วที่สกปรกก็ยังอยู่ตรงนั้น” หมายถึงไม่มีใครดูแล เอาแก้วไปล้าง หรืออื่น ๆ ต่อมา หลังจากเขาแต่งงาน ฉันถามเขา “ตอนนี้มันเป็นอย่างไร?” เขาบอกว่า “ตอนนี้ ผมมีแก้วเพิ่มอีกใบหนึ่ง” เวลาพวกเขากลับบ้าน เขาต้องล้างแก้วของภรรยาด้วย ภรรยาของเขาก็ทำงานเหมือนกัน ยุคสมัยนี้ ไม่มีใคร จะมาดูแลใคร มันเคยมีแก้วใบเดียว ตอนนี้มีเพิ่มอีกใบหนึ่ง (เขาเคยมีแก้วใบเดียว แต่ตอนนี้เขามีภรรยา และต้องล้างแก้ว ของภรรยาของเขาด้วย) ตอนนี้เขามีภรรยาแล้ว และต้อง ล้างแก้วของภรรยาด้วย (ดูว่าใครเป็นคนแรก ที่จะทนไม่ได้ ใครก็ตามที่ล้างแก้วใบแรก จะต้องล้างใบที่สองด้วย) มันต้องเป็นสามี ภรรยาคงจะฝึกสามีอย่างดี ให้ล้างแก้วสองใบหลังจาก พวกเขากลับมาบ้าน
ฉันเห็นมาเยอะ สถานการณ์แบบนั้น และเพื่อนประทับจิตบางคนก็บอกฉัน บางครั้งเขาอยากจะ ต้มบะหมี่(วีแกน) เพราะเขาอาจจะยังหิว หลังจากทานอาหารค่ำแล้ว หลังจากทำงานกลางคืนกลับถึงบ้าน เขาอยากจะ ต้มบะหมี่กินสักหน่อย แล้วภรรยาเขาพูดว่า “นี่คุณ ฉันจะไม่ล้างชามนะ คุณต้องล้างเอง” ใช่ ภรรยาเตือนเขาไว้ก่อน เธอกลัวว่าชามนั้น จะถูกทิ้งไว้ตรงนั้น ฉันไม่รู้ว่า ทำไมการอยู่ด้วยกัน ทำให้สามีภรรยา ลงท้ายด้วยความแล้งน้ำใจต่อกัน การแต่งงาน ก็มีประโยชน์เหมือนกัน มันทำให้คนเรารับผิดชอบมากขึ้น ผู้ชายก่อนแต่งงาน บางครั้งอาจจะ โยนสิ่งของหรือเสื้อผ้า ไปทั่วบ้านอย่างสบาย ๆ แต่หลังจากแต่งงาน ภรรยาของเขาจะเตือน และเขาจะค่อย ๆ กลายเป็น เรียบร้อยขึ้นและรับผิดชอบมากขึ้น คนโสดจะเป็นอีกแบบ ฉันแค่พูดโดยทั่วไป ฉันไม่ได้พูดถึงคุณ ถ้าคุณโอเคมันก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นขำขัน ให้คำเตือนพวกเขา เผื่อไว้ เผื่อว่าพวกเขาจะบ่นภายหลัง “อาจารย์ ท่านควรบอกผมก่อน ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตอนนี้มันสายเกินไป” “ถ้าท่านบอกผมตั้งแต่เนิ่น ๆ ผมจะระวังตัวมากขึ้น”